วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ไทยลีกพาณิชย์ สู้วิกฤตเศรษฐกิจชาติ : ข้อคิดจากมติชน
มติชนรายวัน
วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11449
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01spo11150752§ionid=0114&day=2009-07-15
ในภาวะที่เศรษฐกิจประเทศกำลังถดถอย ร้อนจนรัฐบาลต้องออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น และระยะยาว แต่ธุรกิจกีฬาที่อยู่ในช่วงขาขึ้นสวนทางกับการค้าอื่นๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ฟุตบอล ไทยลีก ที่ได้ปิดเลกแรกลงไปแล้วและกำลังจะเริ่มฟาดแข้งเลกสองในวันที่ 25 กรกฎาคม
ยืนยันได้จากยอดผู้ชมที่พัฒนาเป็นผู้เชียร์กีฬาอย่างเต็มตัว รวมถึงยอดจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก ที่เฉลี่ยรวม 16 สโมสรมากขึ้นผิดหูผิดตา เกิดเงินสะพัดหมุนเวียนจากแต่ละสนามรวมกันหลายสิบล้านบาท ไม่เพียงแค่ในไทยพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ยังลุกลามไปยังดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 ด้วย โดย เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด สโมสรน้องใหม่เงินหนาได้เคยประกาศว่า มีรายได้เข้าทีมในนัดที่เปิดสนามธันเดอร์โดม รับ ทีทีเอ็ม-สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน เกมเดียวถึง 5 แสนบาท
นายรณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้จัดการทั่วไปทีมเมืองทองฯ "กิเลนผยอง" กล่าวว่า จบเลกแรกทีมมีรายได้จากค่าตั๋วประมาณ 2 ล้านบาท ของที่ระลึก 1.5 ล้านบาท โดยดำเนินงานด้านการตลาดภายใต้แนวคิด "ทีมของคุณ ฮีโร่ของคุณ" สินค้า หรือ จุดขายของทีมคือ ความแข็งแกร่ง และฟุตบอลอันมีเสน่ห์สวยงาม จะเห็นได้ว่าสโมสรพยายามจะคว้านักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ฝีเท้าดีมาร่วมตลอด ดาวดังในทีม อาทิ ธีรศิลป์ แดงดา, โซมาโฮโร่ ยาย่า ชาวไอวอรีโคสต์ มีลีลาการเล่นตื่นเต้นเร้าใจเรียกผู้ชมได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันมีการทำโปรโมชั่นเอาใจแฟนบอลควบคู่กันไป อาทิ การให้สิทธิพิเศษลดค่าตั๋ว 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับแฟนคลับ ขณะที่การประชาสัมพันธ์ จะทำผ่านเว็บไซต์ www.mtutd.tv รถกระจายเสียงในจังหวัดนนทบุรี หนังสือพิมพ์ และป้ายต่างๆ ซึ่งจากการจบอันดับ 3 ของตารางเลกแรก ทำให้การเจรจาติดต่อผู้สนับสนุนทีมง่ายขึ้น และน่าจะได้เพิ่ม 5-6 ล้านบาทเป็นทุนบริหารในเลกสอง จากเดิมต้นฤดูกาลสปอนเซอร์ 8 ราย ยอดสนับสนุนรวม 15 ล้านบาท
"กลยุทธ์ต่างๆ ที่ออกมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แฟนบอลเพิ่มมากขึ้นจากตอนอยู่ดิวิชั่น 1 หลายเท่าตัว และผมคิดว่าการลงทุนมหาศาลนี้ อีกไม่เกิน 3 ปีจะคุ้มทุน ในข้อแม้ที่ว่ากระแสยังต้องดีเหมือนเดิมนะ"
นายอรรณพ สิงห์โตทอง ผู้ช่วยผู้จัดการทีมชลบุรี สโมสรที่มีกองเชียร์มากที่สุดทีมหนึ่ง กล่าวว่า มีรายได้จากตั๋วเข้าชมในบ้าน 8 นัดของเลกแรก 1.85 ล้านบาท สินค้าที่ระลึก 4.4 ล้านบาท สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เงินส่วนนี้ไม่ถือเป็นรายได้หลักของสโมสร เพราะยังเทียบไม่ได้กับเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ ปีละ 20 ล้านบาท แต่ถึงอย่างไรก็ดีสิ้นปี ปิดงบฯสโมสรก็ไม่ได้มีกำไร เพียงแค่ใช้บริหารได้ต่อฤดูกาลเท่านั้น เพราะค่าใช้จ่ายมีเยอะทั้งการจัดการแข่งขัน หรือ การเดินทางไปต่างประเทศ รวมถึงเงินเดือนสวัสดิการนักเตะ แต่อนาคตการขายลิขสิทธิ์โทรทัศน์ผ่านทางบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก รวมถึงการซื้อ-ขายนักฟุตบอลจะเป็นสองช่องทางรายได้หลัก และจากกระแสแฟนบอลเวลานี้ที่จุดติดแล้ว เชื่อว่าไม่เกิน 5 ปี ทุกสโมสรจะอยู่ได้ และมีผลกำไรที่งดงามปีละหลายล้านบาท
"กลเม็ดในการทำให้แฟนคลับรักสโมสรนานๆ ก็คือ ความจริงใจ เราต้องการให้พวกเขาเต็มร้อยทั้งผลงานในสนาม และนอกสนาม เช่น การบริการรถรับส่ง และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงทีมในทุกด้าน เพราะพวกเขาคือ ผู้เล่นคนที่ 12 ฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้สโมสรเดินหน้าต่อไปได้"
สองสโมสรข้างต้นเป็นตัวอย่างทีมที่บริหารงานด้านการตลาดได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่สำหรับ จุฬา ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งในทีมที่ต้องปรับกระบวนใหม่ ด้วยเพราะผลสำรวจของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกระบุว่า มียอดผู้ชมเฉลี่ยน้อยที่สุด
นายมนตรี เครือวัลย์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม มองถึงสาเหตุสำคัญที่จำนวนผู้ชมน้อย ทั้งที่สนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งอยู่กลางกรุง ว่า เกิดจาก 1.สินค้า หมายถึง สโมสร ยังไม่ดึงดูดใจพอ ไม่มีดาวดัง ประกอบกับผลงานตกต่ำรั้งบ๊วย 2. ขาดการประชาสัมพันธ์ และเอาใจใส่กับคำว่า "แฟนคลับ" น้อยเกินไป จนถึงเวลานี้ยังไม่มีการผลิตของที่ระลึก แต่กำลังจะเริ่มแก้ไขปัญหาข้างต้นในเลกที่สอง โดยจะตั้งฝ่ายการตลาดขึ้นมาดูแล เพื่อหารายได้เข้าสโมสรเป็นการแบ่งเบาภาระชดเชยเงินทุนในการทำทีมปีนี้จำนวน 10 ล้านบาท
ด้าน โอสถสภา เอ็ม 150 ต้านพลังศรัทธาแฟนบอลไม่ไหว สนามธนารมณ์ ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ภายในหมู่บ้านธนารมณ์จำนวน 2 พันที่นั่งไม่สามารถรองรับกองเชียร์พลังเอ็มได้ โดยเตรียมย้ายไปใช้สนามองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี ความจุ 5 พันที่นั่งเป็นสนามเหย้าแทนภายในเลกที่สองนี้ นายทวี อัมพรมหา เลขานุการทีม กล่าวว่า เสียดายเหมือนกันที่สร้างแฟนประจำได้แล้ว แต่ต้องย้ายสนามอีก แต่เป็นการย้ายเพื่ออนาคต เพราะสนามเดิมขยายไม่ได้อีกแล้ว โดยเหลือขั้นตอนการอนุมัติจากกรรมการบริหารสโมสร และบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกก็จะย้ายทันที เบื้องต้นได้หารือกับ อบจ.สระบุรี อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงชื่อเป็น "โอสถสภา-สระบุรี" ในอนาคต เพื่อซื้อใจ และสร้างกลุ่มแฟนคลับใหม่ๆ ในจังหวัด เชื่อว่าอีกไม่นานอัฒจันทร์เดิม จะต้องเพิ่มที่นั่งอีกแน่นอน
หากยังไม่ได้สัมผัส และร่วมเป็นกลไกในการขับเคลื่อนธุรกิจฟุตบอลไทยให้ก้าวสู่การเป็นลีกอาชีพอย่างเต็มตัว ด้วยการไปชมในสนาม หรือ ซื้อสินค้าที่ระลึก ขณะที่นักธุรกิจ หรือ องค์กรใหญ่ที่ยังไม่ได้ลงทุนกับลีกที่กำลังบูมในเวลานี้ ยังมีเลกสองรอให้แก้ตัวอยู่นะขอรับ!!
หน้า 30
.......................
สานฝันบอลลำปาง
ศุกร์ 17
กรกฎา 52
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น